เรื่อง การร้องสอด
มาตรา
57
บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
( 1 ) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง
คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่
โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา
หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น
( 2 ) ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น
โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆกอ่นมีคำพิพากษาขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม
หรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น
แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่ได้ก็ตาม
คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ
เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย
( 3 ) ด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ารมาในคดี
(ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้
เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน
ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี หรือ
(ข)โดยคำสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร
หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอให้กรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี
หรือศาลเห็นจำเป็นที่เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แต่ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีดังกล่าวแล้ว
ในเรียกด้วยวิธียื่นคำร้องเพื่อให้หมายเรียกพร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การ
หรือในเวลาใดๆ ต่อมาก่อนมีคำพิพากษาโดยได้รับอนุญาตจากศาล
เมื่อศาลเป็นที่พอใจว่าคำร้องนั้นไม่อาจยื่นก่อนได้
การส่งหมายเรียกบุคคลภายนอกตามอนุมาตรานี้ต้องมีสำเนาคำขอหรือคำสั่งของศาลแล้วแต่กรณี
และคำฟ้องคดีข้างต้นนั้นแนบไปด้วย
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ไม่ตัดสิทธิของเจ้าหนี้ในอันที่จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ให้เข้ามาในคดีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์
การร้องสอด คือการที่บุคคลซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความมาแต่เดิมได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีภายหลังเมื่อมีคดีกันแล้ว
ดังที่มาตรา 57 บัญญัติว่า "
บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด... "
หลักของมาตรา
57
1. ผู้ร้องสอดต้องเป็นบุคคลภายนอก
2. ต้องร้องสอดเข้ามาในระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น
3. มีคู่ความในคดีเดิมอยู่ในระหว่างการพิจารณา
4. การร้องสอดนั้นเป็นสิทธิไม่มีบทบังคับ
5. เป็นดุลพินิจของศาล
วิธีการร้องสอด
ตามบทบัญญัติ มาตรา 57 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การร้องสอดมี 2 วิธี ได้แก่
1. การร้องสอดด้วยความสมัครใจ
- เข้ามาในระหว่างพิจารณา
มาตรา57 (1)
- เข้ามาในระหว่างบังคับคดี
มาตรา57 (1)
- เข้ามาเป็นคู่ความร่วม
มาตรา57 (2)
2. การร้องสอดด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี มาตรา57 (3)
ขอสังเกต ทั้งสามอนุมาตราของมาตรา ๕๗ จะยื่นเข้ามาในช่วงอุทธรณ์
หรือช่วงฎีกาไม่ได้
การร้องสอดตามมาตร
57
(1) มี 2 กรณี
1. ยื่นคำร้องต่อศาลที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา
เพื่ิอให้ได้รัความรับรอง คุ้มครอง หรือบบังคับตามสิทธิที่ตนมีอยู่
2. ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดี
เนื่องจากมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับตามคำพิพากษา
เป็นกรณีที่ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต่างหากจากคู่ความเดิม
ไม่ได้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมกับคู่ความเดิมหรือเข้าแทนที่คู่ความเดิมโดยการร้องสอดเข้ามาด้วยสิทธิของตนเองเพราะถูกโต้แย้งสิทธิ
ตามมาตรา 55 จากการที่ดจทก์และจำเลยพิพาทกันในคดีโดยตั้งเป็นประเด็นพิพาทเข้ามาโต้แย้งกัน
โจทก์จำเลยเดิมเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง
หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่
การร้องสอดตามมาตรา 57 (1) มี 2 ระยะ
1. ร้องสอดในระหว่างพิจารณา
เป็นการร้องสอดในระหว่างที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นจนกว่าศาลชั้นต้นจะชี้ขาดตัดสินคดีโดยยื่นคำร้องต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
ผู้ร้องสอดจะต้องมีความจำเป็น
ความจำเป็น คือ ผู้ร้องสอดจะต้องมีสิทธิที่จะร้องสอด และจะต้องฟังได้ว่าการดำเนินพิจารณาของโจทก์
จำเลยเดิมเดิมกระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้ร้องสอด
ดังนี้ เมื่อเกิดความจำเป็นดังกล่าว
ผู้ร้องสอดจึงร้องสอดเข้ามาเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง
หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่
* การร้องสอดนั้นสามารถร้องได้ทั้งคดีมีข้อพิพาทและคดีไม่มีข้อพิพาท
คำพิพากษาฎีกาที่ 774/2539 การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้าในระหว่างพิจารณาคดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์
โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดินมีโฉนดดังกล่าวนั้น เป็นการร้องสอดด้วยความสมัครใจเอง
เพราะเป็นการจำเป็นยังให้ได้รับความรับรอง
คุ้มครองตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา57(1)
2. การร้องสอดในชั้นบังคับคดี
การร้องสอดนี้เกิดจากการบังคับคดีไปโต้แย้งสิทธิบุคคลภายนอกและเป็นกรณีเดียวที่ร้องเข้ามาได้
หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามมาตรา57
(1) ตอนท้าย (ทุกกรณีจะต้องร้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา)
โดยยื่นคำร้องสอดต่อศาลที่ออกหมายบังคับนั้น
ข้อแตกต่าง
ของการร้องสอดในชั้นพิจารณากับชั้นบังคับคดี คือ
ถ้าเป็นการร้องสอดในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยพิพาทกันอยู่ แล้วไปโต้แย้งสิทธิบุคคลภายนอก
แต่ในชั้นบังคับคดีคือพิพาทกันเสร็จแล้ว
ตอนที่บังคับคดีนั้นไปโต้แย้งสิทธิบุคคลภายนอก
การร้องสอดตามมาตรา
57
(2) มี 2 กรณี
1.ร้องเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
หรือจำเลยร่วม
2.ร้องเข้ามาแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมจากคู่ความฝ่ายนั้นและแม้จะมีการเข้าแทนที่กันแล้ว
คู่ความฝ่ายเดิมที่ถูกแทนที่ก็ยังต้องผู้พันโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการเสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการเข้าแทนที่กันเลย
ซึ่งกรณีตามมาตรา 57(2) จะต่างจากมาตรา57 (1) ที่อนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 ได้
แต่การร้องสอดตามมาตรา 57(2) ไม่อาจที่จะเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่
3 ได้
ทำได้เพียงแต่ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความร่วมหรือแทนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
ระยะเวลาในการยื่นคำร้องตามมาตรา 57(2)
ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ไม่ว่าเวลาใดๆ
ก่อนศาลพิพากษาและมิได้เฉพาะศาลชั้นต้นเท่านั้น
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการร้องสอดตามมาตรา
57(2)
1. การร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
หรือเข้าแทนที่โจทก์ก็จะต้องมีคำฟ้องเดิมเป็นหลักก่อน และถ้าร้องสอดเข้ามาเป้นจำเลยร่วม
หรือเข้าแทนที่จำเลยก็จะต้องมีคำให้การเดิมเป็นหลัก
ถ้าไม่มีคำฟ้องหรือคำให้การเดิมอยู่แล้ว
ก็จะร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(2) ไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1050/93,447/14 ป.)
2. ในกรณีที่ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จะต้องมีคำให้การของจำเลยเดิมอยู่ด้วย
ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
การร้องสอดเข้ามาเป้นจำเลยร่วมก็ไม่มีประโยชน์เพราะผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(2) จะใช้สิทธินอกเหนือจากจำเลยเดิมไม่ได้
เมื่อยื่นเข้ามา ศาลจะยกคำร้องสอด (คำพิพากษาฎีกาที่ 215/21)
3. ร้องสอดเข้ามาผิดอนุมาตรา ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจรับคำร้องสอดตามเนื้อความแห่งคำร้องได้
(คำพิพากษาฎีกาที่ 8992/42ม1329/20)
คำพิพากษาฎีกาที่ 590/2513 คู่สัญญาจะซื้อขายที่ดิน
ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกจำเลย
ผู้ร้องสอดอ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลย
จำเลยกู้เงินผู้ร้องไปแล้วตกลงยอมขายที่ดินแปลงนี้ให้ทั้งหมดแก่ผู้ร้องสอดเพื่อเป้นการชำระหนี้
ถ้าจำเลยแพ้คดี ผู้ร้องสอดจะได้รับความเสียหายขอเข้ามาเป้นคู่ความร่วม
ข้ออ้างดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องสอดมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี
คำพิพากษาฎีกาที่ 195/2536 บริษัทจำกัด เป็นจำเลยในคดีถูกฟ้องให้ล้มละลาย เช่นนี้ผู้ถือหุ้นของบริษัท
จำกัด ไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดี เพราะฉะนั้นจะร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา
57(2) นั้นไม่ได้
การร้องสอดตามมาตรา
57
(3)
เป็นการที่ผู้ร้องสอด
เข้ามาในคดีโดยไม่สมัครใจ แต่ถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี
เมื่อศาลหมายเรียกบุคคลเข้าในคดีย่อมถือว่าบุคคลนั้นเป็นคู่ความในคดีโดยการที่ศาลจะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี
ซึ่งแบ่งได้เป้น 3 กรณี ได้แก่
1. คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้ศาลเรียกเข้ามา
ตามมาตรา 57(3),(ก)
2. มีกฎหมายบังคับให้เรียกบุคคลภายนอกเข้าในคดี
ตามมาตรา 57(3),(ข)
3. ศาลเรียกให้เข้ามาเองเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ตามมาตรา 57(3),(ข)
*** คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้ศาลหมายเรียกเข้ามา กรณีนี้เกิดขึ้นโดยคู่ความเดิมในคดีเดิมอาจเป็นโจทก์จำเลยหรือผู้ร้องสอดยื่นคำร้องต่อศาลว่า
ถ้าศาลพิพากษาให้ตนแพ้คดีแล้วตนอาจฟ้องหรือถูกบุคคลภายนอกฟ้องได้
เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน
วิธีการยื่นคำร้องให้ศาลเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ต้องยื่นคำร้องมาพร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การ
หากไม่ยื่นคำร้องมาพร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การก็อาจยื่นในเวลาใดๆ
ก่อนศาลมีคำพิพากษาก็ได้ โดยได้รับอนุญาจากศาล
เมื่อศาลเห็นเป็นที่พอใจว่าคำร้องนั้นไม่อาจยื่นก่อนนั้นได้ ตามมาตรา 57(3) ตอนท้าย
ตัวอย่าง เช่น โจทก์ฟ้องว่านายจ้างจะต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างตาม
ป.พ.พ. มาตรา 425
เช่นนี้
หากนายจ้างชอบที่จะขอให้ศาลหมายเรียกลูกจ้างเข้ามาในคดีได้ ตามมาตรา 57(3) เพราะหากศาลพิพากษาให้นายจ้างแพ้คดีแล้ว
นายจ้างก็มีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 426
อ้างอิงจาก :
รองศาสตราจารย์ จักพงษ์ เล็กสกุลไชย (2553).คำอธิบายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.กรุงเทพฯ
: นิติธรรม.
สมชาย พงษ์พัฒนาษศิลป์ และเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล (2538). ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความทแพ่ง.กรุงเทพฯ
: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญรัฐการพิมพ์.